คณะผู้แทนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินเศรษฐกิจประเทศไทย ประจำปี 2568 ตามพันธะผูกพันข้อ 4
13 พฤศจิกายน 2568
คณะกรรมการบริหารไอเอ็มเอฟ จากผลการประเมินเบื้องต้นนี้ คณะผู้แทนฯ จะจัดทำรายงาน ให้ฝ่ายบริหารพิจารณานำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารของไอเอ็มเอฟต่อไป
- ในครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ที่ร้อยละ 3 ซึ่งดีกว่าที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ดี คาดว่าในภาพรวมทั้งปี เศรษฐกิจจะขยายตัวชะลอลงเหลือร้อยละ 2.1 ในปี 2568 และร้อยละ 1.6 ในปี 2569 ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น สำหรับอัตราเงินเฟ้อ IMF คาดว่าจะทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่องและทยอยปรับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ร้อยละ 1 - 3 ได้ภายในปี 2570 ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงด้านลบอยู่
- ภายใต้ความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นและขีดความสามารถของนโยบายที่จำกัด ทางการไทยควรดำเนินนโยบายแบบผสมผสานอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ซึ่งในช่วงที่หนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับสูง ทางการไทยควรใช้นโยบายการคลังแบบเฉพาะจุดและระมัดระวัง พร้อมกับมีแผนการเข้าสู่สมดุลการคลังระยะปานกลางที่น่าเชื่อถือ ส่วนนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในปัจจุบันยังเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ และอาจผ่อนคลายได้เพิ่มเติมเพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้านอุปสงค์และเงินเฟ้อ ขณะเดียวกัน ด้วยหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ทางการไทยควรเร่งสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อ เช่น มาตรการล่าสุดในการช่วยเหลือลูกหนี้เฉพาะกิจของภาครัฐ เพื่อให้การส่งผ่านนโยบายการเงินมีประสิทธิผลต่อเนื่อง
- ที่ผ่านมา ทางการได้ออกมาตรการและมีโครงการใหม่ ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในหลายมิติ ซึ่ง IMF มองว่าควรต้องเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่ไทยจะเติบโตในอัตราที่ต่ำลง และต้องทำควบคู่ไปกับการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อเพิ่มผลิตภาพและยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้วย
กรุงเทพมหานคร คณะเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) นำโดยนายปีเตอร์ บรอยเออร์ ได้จัดประชุมปรึกษาหารือตาม Article IV ปี 2568 กับประเทศไทย ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 เมื่อสิ้นสุดการหารือ นายบรอยเออร์ได้ออกแถลงการณ์ดังนี้
“เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้น ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีมายาวนานและผลกระทบจากการระบาดของโควิด 19 รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมาเป็นระยะหนึ่ง ความเปราะบางเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากปัจจัยใหม่ อาทิ ผลกระทบจากอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ แม้จะปรับลดลงจากที่ประกาศไว้ในเบื้องต้นที่ร้อยละ 36 เป็นร้อยละ 19
ก็ยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเพิ่มเติมจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ
“ในครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ที่ร้อยละ 3 ดีกว่าที่ประเมินไว้ โดยมีแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนถึงการเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษี อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวชะลอลงต่อเนื่อง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวในไตรมาสที่ 2 หลังจากหดตัวติดต่อกันสี่ไตรมาส ในส่วนของภาครัฐ การบริโภคและการลงทุนเติบโตขึ้นอย่างมากในครึ่งแรกของปี 2568 จากการใช้จ่ายที่ต่ำกว่ากรอบงบประมาณที่กำหนดไว้ในปีงบประมาณ 2567 จากความล่าช้าของการอนุมัติงบประมาณในปีก่อนหน้า
“ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และต่อเนื่องถึงปี 2569 โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโตที่ร้อยละ 2.1 ในปี 2568 และร้อยละ 1.6 ในปี 2569 สำหรับการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวลงหลังจากที่เร่งไปก่อนการขึ้นภาษี ประกอบกับอุปสงค์จากสหรัฐฯ ที่ลดลง และผลจากภาษีศุลกากรที่สูงขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าสภาวะการเงินที่ตึงตัวจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในประเทศ ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ -0.1 ในปี 2568 และร้อยละ 0.4 ในปี 2569
“ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูง และแนวโน้มความเสี่ยงด้านลบ ประการแรก ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าที่ยืดเยื้อ อาจส่งผลกดดันต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ หากเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อเงินเฟ้อคาดการณ์และระดับราคาในระยะต่อไป ประการที่สอง ความผันผวนของตลาดการเงินโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ความเสี่ยงทางการเงินในประเทศรุนแรงขึ้น และประการที่สาม ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้นและความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของตลาดและการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราเงินเฟ้ออาจจะปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดด้านการค้าโลกเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทยสูงกว่าที่คาดการณ์ และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศคลี่คลายลงได้เร็ว
“เมื่อพิจารณาถึงอุปสรรคที่มีมากขึ้น การดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวพอประมาณ ตามที่คาดการณ์ในปีงบประมาณปัจจุบัน โดยอาศัยเงินคงเหลือจากปีงบประมาณก่อนหน้านี้ จะเป็นเครื่องมือสนับสนุนเศรษฐกิจที่สำคัญในระยะสั้น ทั้งนี้ รัฐควรจัดสรรงบประมาณไปใช้ในกิจกรรมที่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ การใช้จ่ายภาครัฐควรทำอย่างเฉพาะเจาะจงและใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดผลสูงสุด ในบริบทนี้ คณะผู้แทนฯ ยินดีกับการตัดสินใจในการเปลี่ยนจากการให้เงินอุดหนุนผ่านโครงการ Digital Wallet ไปสู่โครงการลงทุนต่าง ๆ และเพิ่มจำนวนเงินช่วยเหลือประกันสังคมให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การสนับสนุนทางการคลังในระยะสั้นนี้ควรอยู่ภายใต้แผนการเข้าสู่สมดุลทางการคลังในระยะปานกลางที่เหมาะสม และหากไม่มีผลกระทบด้านลบที่รุนแรง รัฐบาลควรหลีกเลี่ยงความล่าช้าในการปรับฐานะทางการคลัง (fiscal adjustment) หรือการเพิ่มเพดานหนี้ และดำเนินการรัดเข็มขัดทางการคลังโดยที่ยังคงสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ควรเพิ่มรายได้ของรัฐบาลเพื่อลดการก่อหนี้สาธารณะ รวมถึงการสร้างพื้นที่การคลังสำหรับความจำเป็นในการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์และทุนทางกายภาพ และเสริมสร้างระบบประกันสังคมให้แข็งแกร่ง
“นโยบายการเงินยังมีส่วนช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ 1.5 หลังจากที่ปรับลดลง 4 ครั้ง รวมทั้งหมดร้อยละ 1 นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่ายังสามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ โดยยังคงไว้ซึ่งขีดความสามารถของนโยบายที่เพียงพอรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ในระดับสูงและความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในด้านลบ การประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างนโยบายการเงินและนโยบายการคลังจึงมีความจำเป็นเพื่อเสริมสร้างการผสมผสานนโยบาย ขณะเดียวกันยังต้องรักษาความเป็นอิสระของธนาคารกลาง และรักษาความยืดหยุ่นของอัตราแลกเปลี่ยนไว้เป็นปัจจัยหลักในการรองรับผลกระทบ
“แผนการดำเนินการของรัฐบาลในการลดหนี้ครัวเรือนอย่างต่อเนื่องและการสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ถือเป็นแนวทางที่เหมาะสม การปรับโครงสร้างสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันและมูลค่าต่ำ และการเปิดโอกาสให้ครัวเรือนสามารถกลับเข้าสู่ระบบสินเชื่อ หลังจากชำระหนี้หรือลดจำนวนงวดชำระหนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ต้องทำต่อไป โดยต้องให้ความสำคัญกับการรักษาธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเพื่อความสำเร็จของโครงการ นอกจากนี้ การขยายบริการทางการเงินให้กับ SMEs และกลุ่มผู้ด้อยโอกาสจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับระบบการจัดสรรทุนผ่านตัวกลางทางการเงินและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
“ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วนเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวและปรับปรุงศักยภาพในการเติบโต ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการค้าและความเชื่อมโยงทางการเงิน การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงาน และการยกระดับการส่งออก ควบคู่ไปกับการปรับปรุงระบบประกันสังคม ธรรมาภิบาล และเพิ่มความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้นโยบายเหล่านี้ร่วมกันจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและครอบคลุมมากขึ้น และช่วยการปรับสมดุลภายนอก (external rebalancing)
คณะเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับพัฒนาการและแนวโน้มทางเศรษฐกิจกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันของรัฐ ตลอดจนตัวแทนจากภาคประชาสังคมและภาคเอกชน คณะผู้แทนฯ ใคร่ขอขอบคุณทางการไทยและผู้เข้าร่วมการประชุมหารือทุกท่านเป็นอย่างสูง ที่ได้ชี้แจงข้อหารือและนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารของกองทุนการเงินระหว่างประเทศมีกำหนดการเบื้องต้นในการปรึกษาหารือเกี่ยวกับรายงานของคณะเจ้าหน้าที่ (Staff Report) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2569”